การกินอาหารในรถ เพาะเชื้อโรคร้าย

การกินอาหารในรถ เพาะเชื้อโรคร้าย
การนำอาหารขึ้นไปกินบนรถอาจเสี่ยงต่อสุขภาพ หลังการศึกษาพบในรถมีเชื้อโรคเกี่ยวกับอาการอาหารเป็นพิษการติดเชื้อที่ผิวหนัง-อาเจียน นักวิจัยได้นำสำลีไปเช็ดภายในรถยนต์ที่เป็นรถครอบครัว และพบแบคทีเรียบาซิลลัส ซีเรียส และสแตฟฟิโลค็อกคัสภายในรถยนต์ ซึ่งรวมทั้งบริเวณพวงมาลัย หัวเกียร์ และที่จับประตู
การกินอาหารในรถ เพาะเชื้อโรคร้าย


ทั้งนี้ เชื้อสแตฟฟิโลค็อกคัส สามารถติดต่อได้จากคนสู่คนและทำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง เช่น แผลพุพอง โดยพบเชื้อนี้ที่ประตู พวงมาลัย ใต้เบาะ ส่วนเชื้อบาซิลลัส ซีเรียส คือแบคทีเรียที่สามารถสร้างสปอร์รอคอยสภาพที่เหมาะสม เช่น เมื่อเปิดเครื่องทำความร้อนภายในรถยนต์ การจอดรถไว้กลางแดด หรือการทิ้งอาหารไว้ในรถ แล้วเชื่อนี้ก็จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดการติดเชื้อ อาหารเป็นพิษ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วง โดยแบคทีเรียชนิดนี้อาจแฝงตัวอยู่ในเบาะที่นั่ง ที่จับประตู คันเกียร์ พรม ใต้เบาะ นอกจากนั้นยังพบในฝุ่นหรือดินที่ติดขึ้นมากับรองเท้า เท้าสัตว์เลี้ยง


งานวิจัยนี้ จัดทำขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า เชื้อโรคร้ายสามารถซ่อนตัว อยู่ในรถยนต์และรอเวลาที่เหมาะสมในการโจมตี เว้นแต่ว่าเจ้าของรถจะทำความสะอาดรถสม่ำเสมอ


การทดสอบนี้มาจากการเก็บตัวอย่างเชื้อโรคจากที่จับประตู พวงมาลัย หัวเกียร์ ปุ่มวิทยุ ใต้เบาะ พรมที่มักเป็นที่วางถุงชอปปิ้ง และนำไปให้ห้องวิจัยอิสระวิเคราะห์


การสำรวจที่จัดทำโดยวัน โพลล์ พบว่าผู้ขับขี่ 70% ยอมรับว่ากินอาหารหรือเครื่องดื่มในรถ และเกือบครึ่งทิ้งภาชนะใส่อาหารและเครื่องดื่มไว้ในรถข้ามคืน


1 ใน 2 บอกว่าทำความสะอาดภายในรถน้อยกว่าเดือนละครั้ง เกือบครึ่งทำอาหารหรือเครื่องดื่มหกในรถและไม่ได้ทำความสะอาดทันที ขณะที่ 1 ใน 3 นำสัตว์เลี้ยงขึ้นรถเป็นประจำ


เจ้าของรถยนต์ 58% บอกว่าพบเศษอาหารในรถขณะทำความสะอาดรถ


ดร.แอนโธนี ฮิลตัน จากมหาวิทยาลัยแอสตัน เสริมว่าแม้แบคทีเรียบางชนิดไม่เป็นอันตราย แต่บางชนิดก็นำมาซึ่งความป่วยไข้ไม่พึงประสงค์ และเราควรตระหนักถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการกินอาหารในรถพอๆ กับความเสี่ยงจากการติดเชื้อโรคจากที่นั่งบนโถชักโครก


สำหรับผู้ที่ชอบกินหรือดื่มบนรถ ควรรักษาความสะอาดภายในรถยนต์เช่นเดียวกับการรักษาความสะอาดห้องรับประทานอาหารในบ้าน โดยลี ทิกเกิล วิศวกรด้านคุณภาพของฮาลฟอร์ดส์ ยังทำแนะนำให้ทำความสะอาดรถอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

ขอบคุณแหล่งข้อมูล :numsai.com
ขอบคุณแหล่งภาพ :http://www.istockphoto.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น