การนอนกรน เป็นปัญหาจากการนอนหลับที่ผิดปกติ โดยเนื้อเยื่อในช่องคอหย่อนตัวไปกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดกับคนวัยผู้ใหญ่ โดยจากการศึกษาประชากรทั่วไปจะมีโรคนี้ประมาณร้อยละ 5 ของประชากรทั้งหมด
ซึ่ง อาการนอนกรน นี้จะรุนแรงเพิ่มขึ้นตามอายุและความอ้วน โดยในอนาคตจำนวนประชากรที่มีปัญหาจากการนอนหลับที่ผิดปกตินี้จะมีแนวโน้มที่ จะเพิ่มสูงขึ้นจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป การออกกำลังกายที่น้อยลง การรับประทานอาหารที่มีผิดสัดส่วนและมากเกินไป
การนอนกรนสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ ประเภทนอนกรนอย่างเดียวและประเภทนอนกรนแบบมีอาการหยุดหายใจร่วมด้วย ซึ่งแบบที่มีอาการหยุดหายใจร่วมด้วยนี้ คิดเป็นร้อยละ 30 ของผู้ป่วยนอนกรนทั้งหมด
การนอนกรน ที่มีอาหารหยุดหายใจร่วมด้วย (Obstructive Sleep Apnea) นับเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย โดยจากการวิจัยต่างๆ พบว่า โรคร้ายแรงหลายชนิดมีสาเหตุมาจากการนอนกรนชนิดนี้ เช่น โรคหัวใจ (Cardio Vascular Disease) ความดันโลหิตสูง (Hypertension) โรคอัมพฤกษ์อัมพาต (Cerebrovascular Accident) และอาจมีความเกี่ยวโยงไปถึงการขาดสมรรถภาพทางเพศของคุณผู้ชายอีกด้วย
จากผลการสำรวจกว่าร้อยละ 40 ของผู้เป็นโรคความดันมีอาการ OSA ดัง นั้นผู้ที่รู้สึกว่าตนเองง่วงนอนตลอดเวลา สมาธิและความจำสั้น ก็ควรเริ่มสำรวจตนเองว่าเป็นคนนอนกรนหรือไม่ และเป็นคนนอนกรนประเภทใด โดยเริ่มจากการถามคนใกล้ชิดและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สำหรับการรักษาอาการนอนกรน แบบที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย (Obstructive Sleep Apnea) วิธีที่ใช้โดยทั่วไป คือ
- การผ่าตัด แต่ผลการรักษาในระยะยาวยังไม่ชัดเจน ควรทำการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางและพิจารณาเป็นรายๆ ไป
- การใช้เครื่องอัดอากาศ (CPAP หรือ Continuous Positive Airway Pressure) เป็นทางเลือกที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางและใช้ได้กับทุกความรุนแรง ของโรค ได้ผลทันทีที่เริ่มใช้อย่างถูกหลัก
- ในการรักษาที่มีความรุนแรงของโรคน้อยถึงปานกลาง การใช้เครื่องดึงกรามล่างไม่ให้ตกขณะหลับ (MAS หรือ Mandibular Advancement Spint) จะทำให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการอุดกลั้นทางเดินหายใจได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น